วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช




เมื่อพ่อขุนบานเมืองสววคตแล้ว  ผูที่สืบทอดราชสมบัติต่อมา คือ  พ่อขุนรามคำแหง  พระองค์ทรงได้ทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองที่สุด 
        พระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหงมหาราชตามความปรากฏในจารึกหลักที่ 1มีใจความว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์มีพระโอรสด้วยพระชายาพระนามว่า นางเสือง 3 องค์ พระองค์ใหญ่สิ้นพระชนม์เสียตั้งแต่ยังเยาว์ พระองค์กลางทรงพระนามว่า บาลเมือง ดังปรากฏในศิลาจารึกว่า "พ่อกูชื่อ  ศรีอินทราทิตย์  แม่กู  ชื่อนางเสือง  พี่กูชื่อ  บานเมือง  ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน  ผูชายสาม  ผูหญิงโสง"
        พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงพระราชสมภพปีใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่นอน ตามหลักฐานพงศาวดารเมืองเหนือ คือ พงศาวดารเมืองโยนก กล่าวว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเป็นพระสหายสนิทและรุ่นราวคราวเดียวกับพญาเม็งราย เจ้าเมืองเชียงใหม่ และพญางำเมือง เจ้าเมืองพะเยา ทรงศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักสุกกทันตฤาษี ณ เมือง ละโว้ (ลพบุรี) เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับพญางำเมือง ในขณะที่ทรงเล่าเรียนศิลปวิทยาอยู่ร่วมกันนั้นพญางำเมืองเจริญพระชันษาได้ 16 ปี
        เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ประกาศตั้งกรุงสุโขทัยเป็นอิสระแล้ว ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดได้ยกกองทัพมาตีเมืองตากอันเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศตะวันตกของกรุงสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ยกกองทัพออกไปสู้รบกับขุนสามชน และพระราชโอรสองค์ที่สามซึ่งเจริญพระชันษาย่างเข้า 19 ปี ทรงเป็นนักรบที่เข้มแข็งในการสงครามเข้าชนช้างชนะขุนสามชน พวกเมืองฉอดจึงได้แตกพ่ายไป เมื่อชนช้างชนะขุนสามชนคราวนั้นแล้ว พ่อขุนศรีอินทราทิตย์พระราชบิดาจึงพระราชทานเจ้ารามเป็น "พระรามคำแหง" ซึ่งคงจะหมายความว่าพระรามผู้เข้มแข็ง หรือ เจ้ารามผู้เข้มแข็ง
        พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์องค์ที่สามต่อจากพระเชษฐา  คือ  พ่อขุนบานเมืองแห่งราชวงศ์พระร่วง ศักราชที่ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1) คือ มหาศักราช 1205 (พ.ศ. 1826) นั้นเป็นปีที่พระองค์ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น มหาศักราช 1207 (พ.ศ. 1828) ทรงสร้างพระมหาธาตุเมืองศรีสัชนาลัย (เข้าใจว่า คือ พระเจดีย์ที่วัดช้างล้อม ในปัจจุบัน) มหาศักราช 1214 (พ.ศ. 1835)โปรดให้สร้างแท่นหิน ชื่อ พระแท่นมนังศิลาบาตร และสร้างศาลา 2 หลังชื่อ ศาลาพระมาสและพุทธศาลา ประดิษฐานไว้กลางดงตาล เพื่อเป็นที่ประทับว่าราชการและทรงสั่งสอนข้าราชการและประชาชนในวันธรรมดา ส่วนวันอุโบสถโปรดให้พระสงฆ์นั่งสวดพระปาติโมกข์และแสดงธรรม รัชสมัยของพระองค์รุ่งเรืองยิ่งกว่ารัชกาลใด ๆ ราชอาณาเขตแผ่ขยายไปกว้างขวาง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขอย่างที่เรียกกันว่า "ไพร่ฟ้าหน้าใส" การพาณิชย์เจริญก้าวหน้า ศิลปวิทยาเจริญรุ่งเรืองหลาย
ประการ  ดังนี้
       ด้านกาปกครอง  เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชขึ้นครองราชย์  ได้แบ่งการปกครองออกมา  3  รูปแบบ ได้แก่
      ๑.การปกครองพลเมืองยังถือตามคติของคนไทยแต่เดิมอยู่ กล่าวคือ ปกครองอย่างพ่อปกครองลูก  หรือปิตุรักษ์ (Paternalism)   ดังปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงวางพระองค์อย่างบิดาปกครองบุตรด้วยการสอดส่องความเป็นอยู่ของราษฎร ใครทุกข์ร้อนจะทูลร้องทุกข์เมื่อใดก็ได้ โปรดให้แขวนกระดิ่งที่ประตูพระราชวัง เมื่อราษฎรมีทุกข์ก็ไปสั่นกระดิ่งนั้นให้ได้ยินถึงพระกรรณได้เป็นนิจ ดังข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า
        "…ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้านกลางเมืองมีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจมันจะกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียกเมือถาม สวนความแก่มันโดยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึ่งชม.."
        และในหลักจารึกที่๑ ด้านที่๓  ได้กล่าวไว้ว่า "ผิใช่วันสวดธรรม  พ่อขุนรามคำแหง  เจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย  ขึ้นนั่งเหนือธะดารหิน  ให้ฝูงทวยลูกเจ้าขุน  ฝูงถ่วยถือบ้านเมืองกัน"  จากคำจารึกนี้แสดงว่า  พ่อขุนรามคำแหงมีความห่วงใยต่อข้าราชบริพาร  แม้แต่การตายยังทรงเป็นธุระเหมือนพ่อช่วยปลอบยามลูกมีทุกข์  นอกจากนี้ยังทรงเป็นธุระในการอบรมราชวงศ์  ข้าราชกาและประชาชนให้มีความู้ในการบ้านเมือง  และให้ดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดี
        ๒.การปกครองแบบกระจายอำนาจแบ่งการปกครองออกเป็น  3 ระดับ คือ ระดับศูนย์กลาง  ระดับปฏิบัติตามนโยบาย  และระดับส่งเครื่องราชบรรณาการ 
                         กรุงสุโขทัย  เป็นศูนย์กลางการบริหารการปกครอง ให้มีลูกหลวงเป็นเมืองรองจากเมืองหลวง  และเป็นเมืองชั้นในตั้งอยู่สี่ทิศ มีความสำคัญทงยุทธศาสตร์ มีความใกล้ชิดกัเมืองหลวงมากที่สุด  เมืองหลวงกำหนดนโยบายในการบริหารและกำกับ
                        เมืองลูกหลวง หมายถึง  เมืองชั้นในที่รับนโยบายจากเมืองหลวงไปปฏิบัติ  อำนาจเป็นอำนาจของผู้ครองเมือง  บทบทหน้าที่สำคัญคือ  การป้องกันการรุกรานจากภายนอก  จึงได้กำหนอกเมืองในลักษณะนี้ไว้ทั้งสี่ทิศ  ผู้ที่จะมาครองเมืองลูกหลวงจะเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ไว้วางพระทัยมากที่สุด  ทิศเหนือ คือ เมืองศรีสัชนาลัย  ทิศตะวันออก  คือ เมืองสองแคว(พิษณุโลก)  ทิศใต้ คือ มืองพระบาง(นครสวรรค์)  ทิศตะวันตก  คือ เมืองชากังราว (กำแพงเพชร)
                       เมืองพระยามหานคร  เป็นเมืองเล็กเมืองน้อยซึ่งมีเชื้อสายราชวงศ์เดิมของเมืองนั้น ๆ เป็นเจ้าเมือง มีบรรดาศักดิ์เป็น "ขุน"   มีอำนาจในการปกครองตนเอง แต่ยังอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของสุโขทัย
                      ศิลาจารึกหลักที่ ๓ ได้จารึกไว้ว่า มีเมืองพระยามหานครได้แก่  เมืองคณฑี  เมืองเชียงทอง  เมืองพระบาง เมืองพาน  เมืองบางฉลัง เป็นต้น 
                     เมืองประเทศราช  บางครั้งเรียกว่า "เมืองออก" หรือ  "เมืองขึ้น"  ได้แก่ เมืองหรือแคว้นต่างๆ เข้ามาสวามิภักดิ์เองบ้าง  หรือเมืองที่ยกทัพไปสู้รบจนยึดครองไว้ได้  เมืองเหล่านั้นอยู่ห่างไกลกับสุโขทัยยากแก่การปกครอง  จึงมีการมอบอำนาจทั้งหมดให้แก่เจ้าเมืองหรือผู้นำแคว้น  เพียงแต่ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายเป็นประจำปี  เมืองประเทศราชได้แก่  เมืองในภาคกลาง  ตลอดไปจนถึงแหลมมลายูทั้งหมด และทางภาคเหนือ เช่น แพร่ น่าน พลั่ว เป็นต้น
        ลักษณะการปกครองของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีลักษณะคล้ายการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างไร ?
                ในสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช  การปกครองคล้ายระบอบประชาธิปไตย  ไม่ถึงกับเป็นรูปแบบ  เป็นแต่เพียงประชาชนมีสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเท่านั้น  เช่น  มีสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ  ทรัพย์สินบ้านเรือน  การเดินทางไปต่างถิ่น  การแสวงหาความยุติธรรม  ดั่งปรากฏอยู่ในหลักศิลาจารึกที่ ๑ ว่า "...เมืองสุโขทัยนี้ดี...เพื่อนจูงวัวไปค้า  ขี่ม้าไปขาย  ใครจักใคร่ค้าช้างค้า  ใครจักใคร่ค้าม้าค้าใครจักใคร่ค่าเงือนค้าทองคำ..."
         กฎหมายในสมัยสุโขทัยมีสาระสำคัญอย่างไร ?
         กฏหมายพื้นฐาน  ของกรุงสุโขทัยมีอยู่  ๒  เรื่อง  คือ  กฏหมายเกี่ยวกับมรดก  และกฏหมายเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน  ซึ่งปรากฏอยู่บนศิลาจารึกเขากบ  ของพ่อขุนรามำแหง พ.ศ.๑๘๓๕  มีสาระถอดความดังนี้    
        กฎหมายเกี่ยวกับมรดก  ได้กล่าวว่า "ทรัพย์สมบัติทุกชนิดของบิดานั้น  เมื่อยิดาเสียชีวิตลงแล้วจะต้องตกเป็นของบุตรทั้งสิน" ดังข้อความในจารึกว่า 
        "ลุกเจ้าลูกขุนผู้ใดเล้  ล้มตายหายกว่า  เย้าเรือนพ่อ  เชื้อเสื้อคำมัน  ช้างของลูกเมียเยียข้าว  ไพร่ฟ้าค่าไท  ปลามาปลากู พ่อเชื้อมัน  ไว้แก่ลูกมันสิ้น"
         กฎหมายยเกี่ยวกับสิทธิที่ดิน  ได้กล่าวว่า  "หากมีความขันแข็งที่จะขยายที่ดินเพื่อการเลี้ยงชีพต่อไป  ก็ให้ที่ดินตกเป็นของผู้นั้น"  นับว่าเป็นนโยบายส่งเสริมให้กับประชาชนขยายพื้นที่เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรกรรม และเป็นประโยชน์เชิงเศรษฐกิจด้วย  ดังข้อความในศิลาจารึกดังนี้
          "สร้างป่ามา ป่าพลู ทั่วมืองทุกแห่ง  ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าสางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้  หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน"         
        การพัฒนาบ้านเมือง  พ่อขุนรามคำแหงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถมาก  พระองค์ได้ทรงพัฒนาบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน ดังนี้
        ๑.การปกครองในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ปรับปรุงรูปแบบในลักษณะต่างๆหลายลักษณะ
        ๒.นโยบายทางการเมืองระหว่างอาณาจักรและต่างประเทศ  มุ่งเน้นความมั่นคง
        ๓.เศรษฐกิจ  ส่งเสริมให้มีการค้าขายอย่างเสรีในเมืองสุโขทัยเอง  และอาณาจักรอื่นๆ
        ๔.ด้านสังคม  ส่งเสริมให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความสุขบนพื้นฐานคำสอนศาสนา
        ๕.ด้านความเชื่อ  ทุกคนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา
         ๖.ศิลปวัฒนธรรม  สุโขทัยมีศิลปวัฒนธรรม หลายอย่างสืบทอดกันจนมาถึงปัจจุบัน  และเป็นที่ยอมรับของสังคมไทยในปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น